หนึ่งในคดีอาญาที่เราชนะมาในเดือนสิงหาคม 2019 นั้นเกี่ยวข้องกับมาตรา 91K ของพระราชบัญญัติอาชญากรรมปี 1900 ลูกความของเราถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 91K เนื่องจากตำรวจอ้างว่าเขาถ่ายรูปบุคคลที่ในขณะกระทำการส่วนตัวโดยไม่ได้รับความยินยอมเพื่อสนองความต้องการทางเพศ
ภายใต้พระราชบัญญัติการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาให้คำจำกัดความของ “ข้อสงสัยอันมีเหตุสมควร” ว่าหากบุคคลใดบุคคลหนึ่งผิดสังเหตุบางอย่างในเวลาใกล้เคียงกับเวลาเกิดเหตุ เขาหรือเธอสามารถถือได้ว่ามีเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สามารถเชื่อได้ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ Dumbell v Roberts กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องทำให้ตนเองพึงพอใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีเหตุผลพอสมควร ที่ทำให้สงสัยว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แต่สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดที่ว่าต้องมีการยอมรับหลักฐานที่ถูกต้องก่อน
ซึ่งหมายความว่า การต้องสงสัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะถูกต้อง หรืออาจผิดก็ได้ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อกว่าวหาให้ลูกความของเรารับทราบว่าตำรวจต้องสงสัยว่าลูกความได้กระทำความผิด อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องตระหนักถึงเหตุผลที่ทำให้เกิดความสงสัยในการกระทำความผิดด้วย เพราะว่าต้องได้รับการพิสูจน์จากศาลในภายหลัง หลังการสอบสวนตำรวจไม่พบหลักฐาน ภาพถ่ายหรือวิดีโอ จากโทรศัพท์ของลูกความ หลักฐานที่ตำรวจได้รับคือคำแถลงของเหยื่อที่อ้างว่าถูกถ่าย วิดีโอจากกล้องวงจรปิด และคำแถลงจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ เช่น พยานและหัวหน้างานของลูกความของเรา
การตั้งข้อสงสัยที่สามารถเรียกได้ว่าสมเหตุสมผลอาจมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ผู้คนอาจได้ยินการสนทนาในที่เกิดเหตุ จากประวัติอาชญากรรมครั้งก่อน หรือเวลาสถานที่และสถานการณ์ ในกรณีนี้ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าลูกค้าของเราอยู่ที่นั่นในเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ทำให้ตำรวจสามารถตั้งข้อสงสัยได้ว่าเขามีโอกาสใช้โทรศัพท์ของเขาซึ่งถูกเก็บไว้กับเขาในช่วงเวลาทำงานเพื่อถ่ายทำเหยื่อ
ผู้พิพากษาตัดสินโดยอาศัยหลักฐานจากตำรวจ และหลักฐานแย้งโดยทนายของเรา (Dominic Oliveri) ผู้พิพากษาได้ตัดสินว่า เหตุผลและหลักฐานของตำรวจมีน้ำหนักไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าลูกความของเราได้กระทำความผิด นอกจากนี้ผู้พิพากษายังอ้างถึงข้อกฎหมายกรณีที่ระบุว่าแม้ว่าจะมีหลักฐานที่มีน้ำหนักมากว่าลูกความของเราอยู่ที่อยู่ในที่เกิดเหตุในเวลาที่เกิดเหตุและเป็นไปได้ว่าลูกความของเราอาจเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ไม่มีหลักฐานใดที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าลูกความของเราพยายามกระทำความผิด ซึ่งทำให้ไม่สามารถที่จะถือได้ว่าเขาหรือเธอจะได้กระทำความผิดจริง ศาลจึงสั่งยกฟ้อง
ลูกค้าของเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่กับบทสรุป และคำพิพากษาของศาล และจะสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้





